หนึ่งในเรื่องสำคัญมากสำหรับคนที่เรียนภาษาอังกฤษคือการทำความเข้าใจวิธี ใช้ Tense โดยที่ Tense หมายถึงเวลา เพราะฉะนั้นการทำความเข้าใจ Tense เราจะแบ่งเป็น Tense ปัจจุบัน (Present) อดีต (Past) และอนาคต (Future) แม้ว่าในภาษาอังกฤษจะมีถึง 12 Tense แต่รับรองว่าไม่ใช่เรื่องยากเกินไปสำหรับเพื่อน ๆ แน่นอนครับ
จะเข้าใจ Tense ต้องรู้เรื่องกริยา 3 ช่อง
แต่ละ Tense นอกจากใช้พูดถึงเรื่องที่ต่างกันแล้ว คำกริยาในประโยคก็จะเปลี่ยนรูปไป เราเรียกรวม ๆ ว่ากริยา 3 ช่อง มีทั้งรูปปกติที่เติม -ed ทั้งช่อง 2 และ 3 เช่น play เปลี่ยนรูปเป็น played หรือแบบที่เปลี่ยนรูปไปเลยเช่น go เปลี่ยนเป็น went และ gone ตามลำดับ ซึ่งเรื่องนี้มีแหล่งข้อมูลให้ค้นหาได้มากมาย ทั้งในรูปแอปพลิเคชัน เว็บไซต์ หรือหนังสือ
ได้เวลาเจาะลึกทั้ง 12 Tense
-
Present Simple: ใช้พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน สิ่งซึ่งเราทำเป็นประจำ สิ่งที่เป็นความจริง สิ่งที่เราต้องการ หรือความรู้สึกและอารมณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ในตอนที่กำลังพูดถึง เช่น
– I live in Bangkok.
(ฉันอยู่ในกรุงเทพ)
– My brother drives to work every day.
(น้องชายของฉันขับรถไปทำงานทุกวัน) ขอให้สังเกต drives ในประโยคนี้ เพราะเมื่อเป็นสิ่งที่ถูกกล่าวถึงในบทสนทนา (เช่น he, she, it) กริยาจะต้องเติม s หรือ es ด้วย
-
Present Continuous: พูดถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เช่น
I am staying in Bangkok right now.
(ตอนนี้ฉันกำลังอยู่ในกรุงเทพฯ)
-
Present Perfect: พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดในอดีตและยังคงต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน เช่น
I have lived in Bangkok for 10 years.
(ฉันอยู่ในกรุงเทพมาแล้ว 10 ปี)
-
Present Perfect Continuous: ใกล้เคียงกับ Present Perfect มาก และบางครั้งใช้แทนกันได้ เช่น
I have been living in Bangkok since I was 25.
(ฉันอยู่ในกรุงเทพต่อเนื่องมาตั้งแต่อายุ 25) หากสังเกตดูจะพบว่า Present Perfect และ Present Perfect continuous มีความคล้ายกันมาก แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราต้องการเน้นเรื่องเวลาว่าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่อดีต และตอนนี้ยังคงเกิดขึ้นอยู่ ก็จะเลือก Tense นี้
-
Past Simple: ใช้พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงแล้วในอดีต
I lived in Bangkok last year.
(เมื่อปีที่แล้วฉันอยู่ในกรุงเทพฯ)
-
Past Continuous: พูดถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ณ เวลาหนึ่งในอดีตโดยพูดถึงเหตุการณ์อื่นร่วมด้วยเพื่อเน้นเหตุการณ์ที่เรากำลังกล่าวถึง เช่น
I was living in Bangkok in 1998 when Thailand hosted the 13th Asian games.
(ฉันอยู่ในกรุงเทพฯ เมื่อปี 1998 ช่วงที่ไทยเป็นเจ้าภาพเอเชียนเกมครั้งที่ 13)
-
Past Perfect: พูดถึงเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นก่อน จากนั้นมีอีกเหตุการณ์เกิดขึ้นตามมา เหตุการณ์ที่เกิดก่อนจะอยู่ในรูป Past Perfect ส่วนอีกเหตุการณ์จะใช้ Past Simple เช่น
I had lived in Bangkok for 3 years before I moved to Chiang Mai.
(ฉันอยู่กรุงเทพฯ 3 ปี ก่อนที่จะย้ายไปเชียงใหม่)
-
Past Perfect Continuous: ใกล้เคียงกับ Past Perfect แต่จะเน้นให้เห็นว่าเหตุการณ์แรกเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งมีอีกเหตุการณ์แทรกเข้ามา เช่น
I had been living in Chiang Mai before I got the job in Bangkok.
(ผมอยู่ที่เชียงใหม่มาตลอด ก่อนที่จะมาได้งานทำที่กรุงเทพฯ)
-
Future Simple: ใช้พูดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น ทั้งแบบเกิดขึ้นแน่นอนเพราะวางแผนไว้ หรือเป็นการคาดเดาว่าจะเกิดขึ้น ใช้ได้ทั้งแบบ someone will do something และ someone be (is / am / are) going to do something. เช่น
– I think it will rain tomorrow. / I think it is going to rain tomorrow.
(ฉันคิดว่าพรุ่งนี้ฝนน่าจะตก)
– I will go to Bangkok next week.
(อาทิตย์หน้าฉันจะเข้ากรุงเทพ)
-
Future Continuous: พูดถึงเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้น
The library will be closing in 15 minutes.
(ห้องสมุดจะปิดภายในอีก 15 นาที)
-
Future Perfect: พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นต่อเนื่องและจะไปสิ้นสุด ณ เวลาหนึ่งในอนาคต เช่น
I will have finished my work by noon tomorrow.
(ฉันจะทำงานนี้เสร็จภายในเที่ยงวันพรุ่งนี้)
-
Future Perfect Continuous: พูดถึงเวลาหนึ่งในอนาคตที่เหตุการณ์หนึ่งได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไปจนถึงช่วงเวลานั้น เช่น
In July, I will have been working here for 5 years.
(เดือนกรกฎาคมปีนี้ ฉันก็จะทำงานที่นี่ครบ 5 ปี)
สรุปโครงสร้างทั้ง 12 Tense แบบเข้าใจง่าย
หากเพื่อน ๆ ยังงงว่าทั้ง 12 Tense มีโครงสร้างประโยคเป็นยังไง วันนี้เรามีหลักการง่าย ๆ มาให้ครับ โดยเริ่มจากประโยคแบบ Present กับคำกริยา “go” ลองไปดูกันดีกว่าครับ
– I go (Present Simple)
– I am going (Present Continuous)
– I have gone (Present Perfect)
– I have been going (Present Perfect Continuous)
- ขอให้สังเกตตำแหน่งที่สองของประโยคซึ่งเราได้ขีดเส้นใต้ไว้ให้ เพราะนี่คือส่วนที่จะเปลี่ยนไปตาม Tense
- เมื่อเป็น Past ตำแหน่งที่ 2 จะเปลี่ยนไปเป็น went, was และ had ตามลำดับ
- หากเป็น Future ตำแหน่งที่ 2 จะแทนด้วย will (ยกเว้นกรณี be going to) และส่วนที่เหลือจะเหมือนเดิม
- นี่เป็นเพียงประโยคบอกเล่าเท่านั้น เพื่อน ๆ จำเป็นต้องเรียนรู้เรื่องประโยคคำถามและปฏิเสธเพิ่มเติม เพื่อให้ ใช้ Tense ได้ครบทุกรูปแบบ
มีเยอะขนาดนี้ เริ่มฝึกจาก Tense ไหนดี
สำหรับใครที่เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษ หรือสนใจหาสถาบันที่สอน เรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัว เราขอแนะนำว่าให้เริ่มจาก Present Simple, Present Continuous, Past Simple และ Future Simple เพราะ 4 Tense นี้จะทำให้พูดได้ทั้ง 3 ช่วงเวลา จากนั้นค่อย ๆ ขยับไปสู่ Tense ที่ยากขึ้นเรื่อย ๆ
เดินทางมาถึงตอนสุดท้ายกันแล้ว เป็นยังไงบ้างครับเพื่อน ๆ คงได้รู้กันแล้วว่าแต่ละ Tense ใช้ยังไง และคงได้เห็นรูปประโยคไปแล้ว รวมถึงรู้ด้วยว่าจะเริ่มต้นจากจุดไหนดี สิ่งสำคัญนับจากนี้คือการฝึก ใช้ tense อย่างต่อเนื่อง ในที่สุดก็จะใช้ได้อย่างถูกต้องและใช้ได้คล่องในทุกสถานการณ์
ทาง Engduo Thailand มีคอร์สเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ โดยเป็นคอร์สเรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัว ที่สามารถเลือกการเรียนได้ ทั้งการเรียนเพื่อการสื่อสาร การทำงาน หรือการสอบ IELTS หากใครสนใจสามารถเข้าไปดูรายละเอียดในเว็บไซต์ได้เลยครับ
อ่านเนื้อหาเพิ่มเติม
Engduo Thailand
คอร์สเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ ตัวต่อตัว พูดได้ชัวร์ ใช้ได้จริง
Engduo Thailand
ค้นหาคอร์สเรียนที่เหมาะกับคุณ ติดต่อเราเลย
ที่มาข้อมูล
- https://www.grammarly.com/blog/verb-tenses/
- https://www.fluentu.com/blog/english/tenses-in-english/
- https://www.sanook.com/campus/1405232/
- https://bit.ly/36VIgT3