สำหรับคนที่กำลัง เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนหรือคนที่ต้องกลับมา เรียนภาษาอังกฤษ อีกครั้งเพื่อการทำงาน มีหลายเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจเพื่อให้ทำได้ดีทั้งฟัง พูด อ่าน เขียน หนึ่งในเรื่องพื้นฐานที่มองข้ามไม่ได้เลยคือคำนามพหูพจน์หรือ Plural noun เพราะมีความสัมพันธ์กับการใช้งานจริงโดยเฉพาะการสร้างประโยคซึ่ง Plural จะมีความสัมพันธ์โดยตรงกับรูปคำกิริยาหรือ Verb form คำนามเอกพจน์โดยทั่วไปจะเติม -s เมื่ออยู่ในรูปพหูพจน์ เช่น
– one boy — two boys (เด็กผู้ชาย)
– one girl — two girls (เด็กผู้หญิง)
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงแค่เรื่องที่ง่ายที่สุด เพราะในภาษาอังกฤษยังมีกฎข้อยกเว้นอีกมากมาย ซึ่งคนที่ เรียนภาษาอังกฤษ จำเป็นต้องรู้ และเรากำลังจะพาทุกคนไปทำความเข้าใจในวันนี้
ถ้าไม่เติม s แล้วเติมอะไร?
รูปแบบที่คน เรียนภาษาอังกฤษ พบบ่อยที่สุดคือการเติม -es แต่ในการเติม -es เข้าไปเพื่อทำให้เป็น plural ก็มีแยกย่อยไปหลายประเภท ดังนี้
- หากคำนามลงท้ายด้วย -s, -ss, -x, -ch, sh, -o หรือ -z ให้เติม -es เช่น
– one dish — two dishes (จาน)
– one box — two boxes (กล่อง)
– one class — two classes (คลาสเรียน)
– one watch — two watches (นาฬิกาข้อมือ)
– one potato — two potatoes (มันฝรั่ง)
- คำที่ลงท้ายด้วย -y ถ้าหน้า -y เป็นพยัญชนะ ให้เปลี่ยน -y เป็น -i แล้วเติม -es เช่น
– one country — two countries (ประเทศ)
– one city — two cities (เมือง)
แต่ถ้าหน้า -y เป็นสระ (a, e, i, o, u) จะกลับไปสู่กฎพื้นฐานคือเติม -s ซึ่งจำง่าย ๆ เพราะถ้าเปลี่ยน -y เป็น -i ในกรณีนี้จะมีปัญหาเรื่องการออกเสียง เช่น
one key — two keys (กุญแจ)
- คำนามที่ลงท้ายด้วย -f ให้เปลี่ยน -f เป็น -v แล้วเติม -es ซึ่งถ้าลงท้ายด้วย -fe ก็ให้เปลี่ยน -f เป็น -v แล้วเติม -s เช่น
one wolf — two wolves (หมาป่า)
one life — two lives (ชีวิต)
ตัวอย่าง คำพหูพจน์ ที่เป็นข้อยกเว้น
คนที่ เรียนภาษาอังกฤษ มาสักระยะ อาจไม่พบปัญหาการใช้ คำพหูพจน์ โดยเลือกได้ว่าคำไหนควรเติม -s หรือ -es แต่ความจริงแล้วการเปลี่ยนคำจากเอกพจน์ (Singular) ไปเป็นพหูพจน์ (Plural) ยังมีรูปแบบอื่นอีก เช่น
- พหูพจน์บางคำจะเปลี่ยนรูปไปเลย เช่น
– one man — two men (ผู้ชาย) และเมื่อพูดถึงผู้หญิง จาก woman ก็จะเปลี่ยนเป็น women
– child — children (เด็ก)
– tooth — teeth (ฟัน)
– one mouse — two mice (หนู)
– one goose — two geese (ห่าน)
- คำบางคำเมื่ออยู่ในรูปพหูพจน์ก็จะไม่เปลี่ยนรูปไปจากเดิม (Same Singular and Plural) เช่น
– sheep — sheep (แกะ)
– deer — deer (กวาง)
– fish — fish (ปลา)
- หากบางคำรับมาจากภาษาอื่น เมื่ออยู่ในรูปพหูพจน์ก็มักจะเป็นไปตามเดิมจากภาษานั้น ส่วนใหญ่พบมากกับคำที่รับมาจากภาษากรีกและละติน เช่น
– analysis — analyses (บทวิเคราะห์)
– criterion — criteria (เกณฑ์)
– phenomenon — phenomena (ปรากฏการณ์)
– cactus — cacti (กระบองเพชร)
- บางคำก็เป็นข้อยกเว้น นำกฎเดิมมาใช้ไม่ได้ เช่นคำต่อไปนี้ แม้ว่าจะลงท้ายด้วย -f แต่ก็ไม่ต้องเปลี่ยนอะไร และเติม -s เข้าไปได้เลย
– roof — roofs (หลังคา)
– chief — chiefs (หัวหน้า)
คำที่เป็นข้อยกเว้นแบบนี้ ต่อให้เรา เรียนภาษาอังกฤษ มานานเท่าไหร่ก็อาจพลาดได้ ซึ่งก็ไม่ต้องกังวล เพราะคำที่เป็นข้อยกเว้นมีไม่มาก และประสบการณ์จากการใช้ภาษาในชีวิตประจำวันจะช่วยลดความผิดพลาดได้
เทคนิคการจำและข้อผิดพลาดที่พบบ่อย
- สังเกตจากกลุ่มคำ เช่น เมื่อพบว่า tooth รูปพหูพจน์เปลี่ยนเป็น teeth หากเจอ foot ก็ต้องเปลี่ยนเป็น feet
- ใช้แอปพลิเคชัน flashcards ช่วยเสริมกับการ เรียนภาษาอังกฤษ เช่น Anki และ Quizlet
- ฝึกจากประสบการณ์ เพราะเพียงแค่การ เรียนภาษาอังกฤษ อย่างเดียวจะไม่ทำให้เข้าใจอย่างแท้จริง จำเป็นต้องอาศัยการใช้จริง โดยการอ่านหนังสือ บทความ หรือดูข่าวภาษาอังกฤษ จะช่วยให้ซึมซับรูปแบบ คำพหูพจน์ ได้แบบเป็นธรรมชาติ ซึ่งจะช่วยลดข้อผิดพลาดบางอย่างได้ เช่น
– จะไม่เผลอเติม -s ในคำว่า child เพราะรู้ว่าพหูพจน์คือ children
– ไม่เติม -s ให้กับคำว่า deer เพราะรู้ว่าคำนี้จะไม่เปลี่ยนรูป
แม้ว่าการ เรียนภาษาอังกฤษ จะทำได้ด้วยตัวเอง และการทำความเข้าใจเรื่องพหูพจน์ก็ไม่ใช่เรื่องยาก และถ้าคุณกำลังมองหา คอร์สเรียนภาษาอังกฤษ แบบออนไลน์ Engduo Thailand สถาบันสอนภาษาที่มีคอร์สรองรับทุกความต้องการ จะเด็กหรือผู้ใหญ่ จะเตรียมสอบ สัมภาษณ์งาน หรือใช้เพื่อการทำงาน เราก็มีคอร์สเพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการของคุณ