สรุปเรื่อง Plural nouns ในภาษาอังกฤษแบบเข้าใจง่าย

สรุปเรื่อง Plural nouns ในภาษาอังกฤษแบบเข้าใจง่าย

คำนาม (noun) ในภาษาอังกฤษแบ่งเป็นสองประเภทคือนามนับได้และนามนับไม่ได้ ซึ่งคำนามนับได้ยังแบ่งเป็นคำนามเอกพจน์ (singular noun) และคำนามพหูพจน์ (plural noun) ซึ่งการทำคำนามเอกพจน์ให้เป็นพหูพจน์นี่แหละคือสิ่งที่คนเรียนภาษาอังกฤษทุกคนได้เรียนมาตั้งแต่ต้นเพราะเป็นเรื่องพื้นฐาน แต่หลายคนก็ยังสับสนกันอยู่ วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจเรื่อง Plural nouns นี้กันให้มากขึ้น

Plural Nouns รูปปกติที่เติม -s หรือ -es

นี่คือรูปคำนามพหูพจน์ซึ่งพบได้บ่อยที่สุด โดยที่เราจะพูดถึงกันในหัวข้อนี้คือการเติม -s หรือ -es โดยไม่ต้องเปลี่ยนรูปคำหรือเพิ่มตัวอักษรใด ๆ เข้าไป สามารถสรุปประเภทย่อยของคำนามพหูพจน์ที่เข้ากลุ่มในหัวข้อนี้ได้ดังนี้

 

  1. คำนามทั่วไปที่เติม -s ท้ายคำได้ทันที เป็นรูปพหูพจน์ที่พบมากที่สุด เช่น

– a cat – 2 cats (แมว)

– a girl – 2 girls (เด็กผู้หญิง)

– a house – 2 houses (บ้าน)

 

  1. หากคำนามลงท้ายด้วย –s -ss xz หรือกลุ่มพยัญชนะเช่น –sh หรือ –ch เราทำให้เป็นพหูพจน์ได้โดยการเติม –es เช่น

– a watch – 2 watches (นาฬิกา)

– a glass – 2 glasses (แก้วน้ำ)

– a dish – 2 dishes (จาน)

– a box – 2 boxes (กล่อง)

 

  1. คำนามที่ลงท้ายด้วย -o ให้เติม -es เช่น

– a potato – 2 potatoes (มันฝรั่ง)

– a tomato – 2 tomatoes (มะเขือเทศ)

 

อย่างไรก็ตาม กฎข้อนี้จะยกเว้นกับบางคำเช่น photo และ piano ซึ่งสามารถเติม -s เข้าไปกลายเป็น photos และ pianos ได้เลย

 

  1. คำนามที่ลงท้ายด้วย -y หากหน้า y เป็นสระ ให้เติม -s เข้าไปได้เลย (ขอให้เทียบกฎข้อนี้กับกฎข้อแรกในหัวข้อถัดไปเมื่อหน้า y เป็นพยัญชนะ) เช่น

– a toy – 2 toys (ของเล่น)

– a boy – 2 boys (เด็กผู้ชาย)

 

Plural Nouns รูปที่ไม่ปกติ มีแบบไหนบ้าง

คำว่า “รูปที่ไม่ปกติ” ในที่นี้เราหมายถึงในสองกรณีคือการเติม -s หรือ -es โดยต้องเปลี่ยนตัวอักษรท้ายคำไปจากเดิม และอีกประเภทคือคำนามพหูพจน์ที่เปลี่ยนรูปไปจากเดิม (ไม่ได้เติม -s หรือ – es) ซึ่งประเภทหลังจะไม่มีกฎตายตัว ต้องอาศัยการจำหรือเช็กจากพจนานุกรมเท่านั้น แยกประเภทของกฎต่าง ๆ ได้ดังนี้

 

  1. คำที่ลงท้ายด้วย -y หากหน้า y เป็นพยัญชนะ ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม -es เช่น

– a city – 2 cities (เมือง)

– a vocabulary – 2 vocabularies (คำศัพท์)

 

  1. คำนามที่ลงท้ายด้วย -f และ -fe ให้เปลี่ยน f เป็น v แล้วเติม -s หรือ -es เช่น

– leaf – leaves (ใบไม้)

– a knife – 2 knives (มีด)

 

อย่างไรก็ตาม บางคำเช่น roof ก็ไม่ต้องเปลี่ยน -f ท้ายคำโดยเติม -s เข้าไปได้เลย ซึ่งก็เป็นคำยกเว้นในกฎข้อนี้

 

  1. พหูพจน์ที่เปลี่ยนรูปเฉพาะตัวอักษรท้ายคำ

โดยท้ายคำจะไม่ได้เป็น -s หรือ -es จุดนี้จำเป็นต้องอาศัยการสังเกตเมื่ออ่านเจอหรือเช็กจากพจนานุกรมเพื่อความแน่ใจ เพราะแม้ว่าบางคำจะมีกฎระบุไว้ แต่คำในกลุ่มนั้นก็ไม่ใช่คำที่เราพบบ่อย คำที่เข้าข่ายลักษณะนี้ เช่น

 

– phenomenon – phenomena (ปรากฏการณ์)

– a cactus – 2 cacti (กระบองเพชร)

 

  1. พหูพจน์ที่เปลี่ยนรูปคำไปจากเดิม

โดยไม่ได้เปลี่ยนแค่ตัวอักษรท้ายคำแบบตัวอย่างในข้อที่ผ่านมา เช่น

– a man / a woman – 2 men / 2 women (ผู้ชาย / ผู้หญิง)

– a child – 2 children (เด็ก, ลูก)

– a person – 2 people (คน) อย่างไรก็ตาม persons ก็มีใช้บ้างเหมือนกัน เพียงแต่จะพบเฉพาะในเอกสารราชการหรือการพูดถึงบุคคลตามกฎหมายเท่านั้น โดยทั่วไปถ้าพูดถึงคนหลายคน ก็จะใช้ people เช่น

 

There are 20 people in the class.

(ชั้นเรียนนี้มี 20 คน)

 

  1. คำนามที่ไม่เปลี่ยนรูปเมื่อเป็นพหูพจน์

เช่น fish (ปลา) deer (กวาง) abacus (ลูกคิด)

รายละเอียดคอร์สเรียน

ความสัมพันธ์ของ Plural nouns กับ Verb form

ความสัมพันธ์ที่เรากำลังจะพูดถึงคือเรื่อง subject-verb agreement โดยมีหลักการง่าย ๆ ว่าเมื่อคำนามอยู่ในรูปเอกพจน์หรือพหูพจน์ คำกริยา (Verb) จะต้องสะท้อนความเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ตามไปด้วย ขอให้ลองสังเกต 4 ตัวอย่างต่อไปนี้ โดยสังเกตจากคำกริยา “live” และ “verb to be” ในประโยค และพิจารณาประธานของประโยคที่ต่างกัน

 

My parents live in Bangkok.

(พ่อแม่ของฉันอยู่กรุงเทพฯ)

My younger brother lives in Chiang Mai.

(น้องชายของฉันอยู่ที่เชียงใหม่)

this story is well-written.

(เรื่องนี้เขียนได้ดี)

These stories are well-written.

(เรื่องราวเหล่านี้เขียนได้ดี)

 

สำหรับเรื่องที่จะมีผลโดยตรงกับคำนามเอกพจน์และพหูพจน์คือคำกริยาเมื่ออยู่ในรูป Present Tense ไม่ว่าจะเป็น Verb to be รวมถึงคำกริยาอื่น (เช่น live ที่เติม -s ในประโยคที่สอง) ซึ่งเมื่อมีผลกับคำกริยาใน Present Tense ก็ต้องมีผลกับ Tense อื่นด้วย เช่น เลือกระหว่าง was หรือ were ใน Past Tense การเลือกระหว่าง has หรือ have ใน Present Perfect Tense รวมถึงยังมีผลกับการเลือกใช้คำกริยาในประโยคคำถามและปฏิเสธด้วย เช่น

 

Does your brother / do your parents live in Bangkok?

(พี่ชายของคุณ / พ่อแม่ของคุณอาศัยอยู่ที่กรุงเทพฯ หรือเปล่า)

This story isn’t / These stories aren’t well-written.

(เรื่องนี้ / เรื่องราวเหล่านี้เขียนได้ไม่ดีนัก)

 

กฎและคำตัวอย่างที่ยกมาให้ในวันนี้ เป็นเพียงภาพคร่าว ๆ ให้เห็นว่าคำนามพหูพจน์หรือ Plural nouns ในภาษาอังกฤษใช้อย่างไรเท่านั้น ความจริงแล้วกฎส่วนใหญ่มีข้อยกเว้น ซึ่งการฝึกฝนหรือทำความคุ้นเคยกับคำศัพท์มาก ๆ ไม่ว่าจะจากการฟังหรืออ่านสามารถช่วยได้ หรือแม้แต่การเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติมก็ช่วยได้เช่นกัน แล้วมาติดตามบทความดี ๆ แบบนี้กันอีกจาก สถาบันสอนภาษาอังกฤษ Engduo Thailand

และเมื่ออ่านบทความที่ Engduo Thailand แล้วอยากเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์กับสถาบันสอนภาษาอังกฤษ Engduo Thailand ก็สามารถติดต่อสอบถามเข้ามาได้เลย เพราะที่นีมีการเรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัว แถมยังมีคอร์สเรียนภาษาอังกฤษให้เลือกเรียนอย่างมากมาย ทั้งเพื่อการสื่อสาร, สำหรับเด็ก, สำหรับสัมภาษณ์งาน รวมไปถึงการเตรียมตัวสอบ IELTS ก็มีเช่นกัน

Engduo Thailand

คอร์สเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ ตัวต่อตัว พูดได้ชัวร์ ใช้ได้จริง

Engduo Thailand

ค้นหาคอร์สเรียนที่เหมาะกับคุณ ติดต่อเราเลย

FB: Engduo Thailand

Messenger

Line: @engduo

Tel: 0988268961

บทความของเรา

แต่งประโยคภาษาอังกฤษอย่างไรให้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์
แต่งประโยคภาษาอังกฤษอย่างไรให้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์

การแต่งประโยคในภาษาอังกฤษโดยยึดหลังไวยากรณ์ถือเป็นสิ่งจำเป็น หากแต่งประโยคไม่ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์อาจทำให้ประโยคไม่สมบูรณ์ ใจความของประโยคมีความคลาดเคลื่อน สามารถส่งผลให้เกิดการสื่อสารที่เข้าใจผิดได้ ในบทความนี้ มาเรียนภาษาอังกฤษไปด้วยกัน กับการแต่งประโยคภาษาอังกฤษอย่างไรให้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ อธิบายพร้อมยกตัวอย่างประกอบ โครงสร้างประโยคภาษาอังกฤษพื้นฐานประกอบด้วยอะไรบ้าง โครงสร้างประโยคภาษาอังกฤษพื้นฐานที่จะทำให้ประโยคมีความสมบูรณ์ ประกอบด้วย ดังนี้ ประธาน (Subject) ประธานหรือประธานในประโยค

ดูบทความทั้งหมด