ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษเป็นเรื่องที่ผู้ที่ต้องการเรียนรู้ภาษาอังกฤษให้เข้าใจ ถ่องแท้ต้องให้ความสำคัญ ซึ่งไวยากรณ์ภาษาอังกฤษมีหลายเรื่อง หนึ่งในเรื่องที่ต้องศึกษาคือ Direct / Indirect Speech
Direct / Indirect Speech คืออะไร
การนำคำพูดของคนอื่นมาเล่าต่อนั้นสามารถทำได้ 2 แบบคือ พูดเหมือนคำพูดของผู้พูดหรือลอกคำพูดเขามาพูดต่อเป๊ะ ๆ เราเรียกว่า “Direct Speech” กับอีกแบบคือเอาคำพูดของผู้พูดมาเล่าต่อในแบบของตัวเอง เราเรียกว่า “Indirect Speech”
ขอยกตัวอย่างประโยคภาษาไทยก่อน เพื่อให้เข้าใจว่า Direct and Indirect Speech คืออะไร อย่าง direct speech ก็เช่น เราพูดกับแม่ถึงสิ่งที่น้องชายพูดกับเรา โดยยกคำพูดน้องมาเลยว่า น้องพูดว่า “ฉันการบ้านเยอะมากช่วงนี้” แต่ถ้าเป็น indirect speech ที่เราเอาคำพูดของน้องชายมาเล่าให้แม่ฟังในภาษาเราเอง ก็จะเป็นว่า น้องชายบอกว่าเขาการบ้านเยอะมากช่วงนี้
ข้อแตกต่างของ Direct Speech และ Indirect Speech
ที่เห็นความแตกต่างอย่างสังเกตได้ชัดระหว่าง direct / indirect speech ก็คือ direct speech ประโยคคำพูดจะอยู่ในเครื่องหมายคำพูด คือเป็นการ quote คำพูดของผู้พูดมาเลย และคำสรรพนาม (pronoun) ยังเป็นบุรุษเดียวกับประโยคเดิม ส่วนใน indirect speech นั้น ประโยคที่นำมาเล่าต่อจะไม่มีเครื่องหมายคำพูดแล้ว และสรรพนามในประโยคคำพูดจะต้องเปลี่ยนไป
ประโยค direct / indirect speech ในภาษาอังกฤษก็เช่นเดียวกัน มีหลักในการเข้าใจประโยคทั้ง 2 แบบ โดยต้องทำความเข้าใจหลักการเปลี่ยนประโยคจาก direct speech เป็น indirect speech จะทำให้เลือกใช้ประโยค indirect speech ได้อย่างถูกต้อง
หลักการเปลี่ยนประโยคจาก direct speech เป็น indirect speech มี 4 ข้อ ดังนี้
- เปลี่ยน Verb ในประโยคหน้า เช่น says, said, say to, said to และเติม that ตามหลังเพื่อเชื่อมกับประโยคคำพูดที่จะตามมาทันที เช่น
direct speech:
Tom says, “I will finish my homework at 7 o’clock.”
indirect speech:
Tom says that he would finish his homework at 7 o’clock.
direct speech:
The teacher said to John, “You are a good student.”
indirect speech:
The teacher told John that he was a good student.
- เปลี่ยน Tense เรื่อง tense ในประโยคภาษาอังกฤษมีความสำคัญเพื่อบอกให้รู้ว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นในปัจจุบัน อดีต อนาคต กำลังทำอยู่ต่อเนื่อง ทำเสร็จไปแล้ว หรือเริ่มทำมาตั้งแต่อดีตและปัจจุบันกำลังทำอยู่ เมื่อเปลี่ยนประโยค direct speech เป็น indirect speech จะต้องมีการเปลี่ยน tense เนื่องจาก ณ ขณะที่นำประโยคนั้นมาพูดหรือเล่าต่อ เวลาได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ไม่ใช่เป็นเวลาในขณะที่ผู้พูด (คนแรก) พูด ต้องเป็นเรื่องราวที่ผ่านไปแล้ว เคล็ดลับการเปลี่ยน tense ในประโยค indirect speech ไม่ยาก หลักก็คือทำให้เป็นอดีตกว่า 1 ขั้นเมื่อนำมาเล่าต่อ ทำการเปลี่ยน tense เป็นอดีตกว่า 1 ขั้น ส่วนความเป็น continuous หรืออะไรก็ให้เหมือนเดิม ดังนี้
Direct speech Indirect speech
Present Simple Tense Past Simple Tense
Present Continuous Tense Past Continuous Tense
Present Perfect Tense Past Perfect Tense
Past Simple Tense Past Perfect Tense
Past Continuous Tense Past Perfect Continuous Tense
Past Perfect Tense* Past Perfect Tense
Past Perfect Continuous Tense* Past Perfect Continuous Tense
*ยกเว้น Past Perfect Tense ที่เป็นอดีตขั้นสุด ไม่มีอดีตกว่านี้แล้ว จึงใช้ Tense เดิม
กรณีในประโยค direct speech มีกริยาช่วย (Modal Verb) ให้เปลี่ยนกริยาช่วยเป็นรูปอดีต ดังนี้
Direct speech Indirect Speech
will / shall would / should
can could
may might
must had to
หากกริยาช่วย (Modal Verb) เป็นรูปอดีตในประโยค direct speech อยู่แล้ว ก็ให้ใช้รูปเดิม ไม่ต้องเปลี่ยน
ตัวอย่างการเปลี่ยน tense สำหรับประโยค direct / indirect speech
Mary said to me, “I will come to your birthday party.”
>> Mary told me that she would come to my birthday party.
Win says, “I have not finished my homework yet.”
>> Win says that he had not finished his homework yet.
- เปลี่ยนสรรพนาม (Pronoun)
เมื่อประโยค direct speech ถูกนำมาเล่าต่อ แน่นอนว่าบุรุษสรรพนามในประโยคคำพูดย่อมจะต้องเปลี่ยนไป โดยต้องเปลี่ยนทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น personal pronoun หรือ possessive pronoun เช่น
Kaew said, “I will clean my room today.”
>> Kaew said that she would clean her room that day.
Tom said, “I love you.”
>> Tom said that he loved her.
- เปลี่ยนคำบอกเวลา เพราะเมื่อนำประโยคมาเล่าต่อ คำบอกเวลาในประโยคคำพูดเดิมใช้ไม่ได้แล้ว เช่น
Direct speech Indirect Speech
today that day
yesterday the day before
tomorrow the next day
last night / last week / the night before / the week before
last month / last year the month before / the year before
next week / next month the following week / the following month
next year the following year
ago before
now then
come go
เช่น
She said, “I will go to London next year.”
>> She said that she would go to London the following year.
*นอกจากเปลี่ยนคำบอกเวลาแล้ว ต้องเปลี่ยนคำที่แสดงระยะว่าใกล้หรือไกลด้วย ดังนี้
Direct speech Indirect Speech
here there
this that
these those
เช่น
George says, “I will come here tomorrow.”
>> George said that he would go there the next day.
ถ้าเรารู้หลักการเปลี่ยนประโยค direct speech เป็น indirect speech แล้ว จะทำให้ทักษะการเล่าเรื่องภาษาอังกฤษดีขึ้น เพราะส่วนใหญ่การพูดภาษาอังกฤษถ้าไม่เกี่ยวกับตัวเองแล้ว ก็มักเป็นการเล่าเรื่องหรือมีการอ้างอิงคำพูดของบุคคลอื่นอยู่เสมอ แนะนำให้หมั่นศึกษาด้วยตนเองเพิ่มเติมจากการอ่านหนังสือหรือเนื้อหาข่าวสาร รวมถึง สอนหรือเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ ซึ่งจะช่วยให้มีความชำนาญมากยิ่งขึ้น
สำหรับใครอยากเรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัวแบบออนไลน์ สามารถดูรายละเอียด Engduo Thailand สถาบันภาษา ที่มีคอร์สให้เลือกมากมาย ทั้งการสื่อสารและการทำงานด้วย
อ่านเนื้อหาเพิ่มเติม
- past continuous ไม่ยากอย่างที่คิด พร้อมวิธีแยกฉบับเข้าใจง่าย
- รู้จัก Synonyms เพื่อการใช้ศัพท์ที่หลากหลาย
Engduo Thailand
คอร์สเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ ตัวต่อตัว พูดได้ชัวร์ ใช้ได้จริง
Engduo Thailand
ค้นหาคอร์สเรียนที่เหมาะกับคุณ ติดต่อเราเลย
ที่มาข้อมูล
- https://www.trueplookpanya.com/knowledge/content/62514/-laneng-lan-
- https://home.kku.ac.th/srinit/english_insight/HTML/Direct_Indirect.htm
- https://libst.buu.ac.th/chapter17_0.html